วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2551

cute bunny


น่ารัดเนอะ ตอนเปงเด็กเนี่ย พอโตมาทำไมน่าถีบจังวุ้ย

ตอนนี้เจ้านายใกล้จะขวบนึงแล้ว ตอนนี้ซนมากๆ เวลาโกรธชอบทำหูตกข้างเดียว เจ้านายเค้าเคยมีว่าที่เจ้าสาว 4 ตัวค่ะ เกือบได้เข้าหอกันแล้ว

แต่เจ้านายบุญไม่ถึง เจ้าสาวเลยหนีไปเที่ยวสวรรค์หมดแล้ว ตายหมดเลย พาเจ้าสาวมาให้ก้ออยู่กันได้แป๊บๆ ตัวเมียก็ตายหมดเลย

แต่เจ้านายมันขี้อ้อนนะ เวลาดูตามันนะ ตาหวานเยิ้มเลย ตอนดื้อจะโดนจับขัง แต่พอขังได้ซักพักต้องไปปล่อยเค้าแล้ว



ก็พอโดนขังเนี่ยเค้าจะหมอบเลย นิ่งๆก่อน พอเราไม่สนใจ ทีนี้อาละวาดเลยค่ะ เขย่ากรง คว่ำถาดข้าว คุ้ย มั่วไปหมด

ทำเสียงดังๆ จนเราทนไม่ไหวมาเปิดให้ วันไหนใจแข็งหน่อย ไม่ปล่อย มามุกใหม่เลย จะนอนแบบเป็นกระต่ายอมทุกข์ เห็นนิ่งๆ ความจริงมันสำออยค่ะ

แต่เปิดให้ออก ไม่ออก งอน พอเราไปแตะตัวนี่ ขู่จะกัด เอาแต่ใจมากเลย - -* หรือเพราะเราเลี้ยงเค้าตามใจเกินไปไม่รู้

วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2551

อิกระต่ายนิสัยเสีย


นี่หลบใต้เตียงกลัวแม่จับทอด

มันดื้ออ่ะค่ะ ชอบแอบกินขนม เพราะเค้าจะรู้ว่าซองมาม่ามันซุกอยู่ไหน เค้าตามปีนไปกินปีนไมโครเวฟ ไปกินขนมปัง แล้วเค้าไม่ยอมด้วย คือเห็นเรากินอะไร จะง้องแง๊งตามมาขอกินตลอด ถ้าไม่ให้มันก็งอนเดินเข้ากรงเอง นอนหมอบ ฟุบหน้าลงเลย เรียกก็ไม่สนใจ พอหายงอน มันก็ลุกมากินผักแล้วก็วิ่งเล่นเค้าชอบมุดถุง ไม่รู้เป็นอะไร เวลาเราซื้อของกลับมาเอาถุงวางไว้ เค้าเห็นก็จะเล็งแล้ว วิ่งใส่เลย


เจ้านายกับสมุน

ดึงก็ไม่อยู่วิ่งหนี มาคอยซุ่มโจมตีถุง เหมือนมันจะรู้ว่ามีของที่กินได้อยู่ในนั้นแล้วเค้าก็ติดน้ำหวาน ถ้าให้น้ำเปล่าเค้าไม่ยอมกินเลย เคยขาดกลูโคสในเลือด เกือบเท่งไปทีนึงพาไปหาหมอกลับมาเดินไม่ได้เป็นเดือน กว่าจะหาย ตั้งแต่นั้นเลยต้องให้เค้ากินเกลือแร่ตลอด ผสมน้ำให้เค้ากิน


ต้องรื้อผ้าปูที่นอนออกเพราะมันไม่นอมลงจากเตียง + ต้องเอาพัดลมขึ้นมาเป่าให้มันอีกตะหาก

อีกอย่างนะ เรื่องนี้ทำมี่ปวดหัวมากๆเลย เรื่องอึเนี่ย เค้าอึเป็นที่มากเลยค่ะ เวลาปวดอึเค้าจะกระโดดขึ้นเตียงมี่ อึบนผ้าห่มข้างๆตุ๊กตาหมีประจำเมื่อไหร่ขึ้นเตียงจะฟอร์มเนียนแกล้งวิ่งเล่น พอเผลอ ชิดมุม ปล่อย มี่ล่ะปวดใจ ดีหน่อยตรงที่ตอนฉี่เค้าฉี่ในถาดรองในกรง ม่ายงั้น ปวดหัวตายเลย ต้องคอยเก็บผ้าซัก

วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2551

ทำยังไงจะไม่โดนหลอก



เนื่องจากปัญหาส่วนใหญ่ที่เรามักจะพบกันบ่อยก็คือ ผู้ขายกระต่ายบางส่วน ได้เอากระต่ายที่ยังไม่หย่านม คือมีอายุไม่เกิน 2 เดือนมาขาย โดยเอามาหลอกขายว่าเป็นกระต่ายแคระ บางตัวอายุเพียงแค่ 3 สัปดาห์ด้วยซ้ำ ดังนั้น เราจึงควรจะเรียนรู้วิธีการเลือกซื้อลูกกระต่าย เพื่อจะได้ ไม่โดนหลอกกันอีก

อย่าซื้อเลยค่ะ ลูกกระต่ายที่ยังไม่หย่านมโอกาสรอดน้อยค่ะ เพราะนั่นคือ เรากำลังฆ่าลูกกระต่ายเหล่านั้นทางอ้อม ปล่อยให้เค้าอยู่กับแม่ของเค้า จนถึงเวลาที่เหมาะสมดีกว่าค่ะ แล้วเราจะได้ลูกกระต่ายที่แข็งแรง สุขภาพและสุขภาพจิตดี อีกด้วย

อีกอย่างนะ ลูกกระต่ายน่ะดูน่ารักก็จริง แต่อายุขนาดนั้น ฟอร์มยังไม่ออกหรอกค่ะ เลือกซื้อหลังจากอายุ 2-3 เดือนไป ยิ่งดี เพราะว่า เราจะเห็นลักษณะเค้าชัดเจนยิ่งขึ้น ว่าสวยจริงหรือไม่


ลูกกระต่ายหย่านมแล้วหรือหรือไม่

กระต่ายที่อายุน้อยเกินไป ลักษณะจะเป็นงี้นะคะ มาๆๆมาดูกัน ขนน้องเค้าจะอ่อนเพราะไรรู้ป่าวคะ ก็เพราะมันเป็นขนที่ยังไม่ผลัดไง ส่วนขาโดยเฉพาะขาหลังจะยังยืดไม่เต็มที่ นิ้วจะยังไม่ค่อยออก นิ้วจะสั้นๆ หูจะสั้นๆและแข็ง เมื่อลองสัมผัสเทียบกับกระต่ายโต พันธุ์เดียวกัน

วิธีสังเกตอื่นๆก็จะดูจากพฤติกรรมน้องกระต่ายเค้าก็ได้ค่ะ น้องกระต่ายตัวน้อยจะนอนทั้งวัน จะเดินไม่คล่อง ยังต้วมเตี้ยม ขี้ตกใจ ฟันจะเห็นว่าฟันบางตัวจะยังขึ้นไม่สมบูรณ์ยังเป็นเพียงจุดขาวๆ ยื่นออกมาสั้นๆก็มี



ในบางรายอาจจะเอากระต่ายที่โตแล้ว และเพาะลูกมาระยะหนึ่ง จนใกล้จะหมดเวลาที่เหมาะสม อาจจะมีการคัดกระต่ายทิ้งไป เพื่อหาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ใหม่มาแทน แล้วเอากระต่ายแก่มาหลอกขาย เป็นต้น วิธีป้องกัน ในการไม่ไปซื้อกระต่ายอายุมากเกินไปก็คือ

การตรวจดูที่ฟันของกระต่าย ฟันกระต่ายหนุ่มสาวจะมีสีขาวเหมือนไข่มุก แต่ถ้ากระต่ายอายุมาก ยิ่งมากฟันจะยิ่งเหลือง ส่วนไขมันใต้คาง กระต่ายยิ่งอายุมาก ไขมันใต้คางจะยิ่งหนา

ดูจากเล็บกระต่าย ยิ่งเล็บยาวม้วนมาก อายุจะยิ่งมาก แต่ถ้าหากว่า โดนตัดเล็บไป เราอาจจะตรวจดูจากฐานเล็บ หากความกว้างของฐานเล็บยิ่งมาก กระต่ายจะยิ่งมีอายุมากค่ะ

ของเล่นของกระต่าย



กระต่ายของเพื่อนๆ มีของเล่นหรือยัง ใครๆก็อยากจะให้น้องต่ายของตัวเองมีความสุขกันทั้งนั้นแหละ แต่พอถามถึงของเล่นของกระต่าย ส่วนใหญ่จะอึ้งๆๆๆๆๆ และก็ถามกลับมาว่า “กระต่ายมีของเล่นด้วยเหรอ ไม่ใช่แฮมสเตอร์นะจะได้ปั่นวงล้อ”

ที่จริงแล้ว กระต่ายเอง ก็มีของเล่นได้นะคะ การเลือกของเล่น เลือกแบบที่ไม่มีสีดีกว่า หรือหากมีสีก็ควรจะเป็นสีผสมอาหารนะคะ ประเภทไม้ที่ชุบสีทาบ้านเนี่ย ไม่ดีค่ะ เป็นอันตรายกับกระต่าย


• พวกผ้าขนหนูเก่าๆ
ก็มีประโยชน์ค่ะ เอาไว้ให้มุดเล่น หรือ ดึงเล่น แต่อย่าทิ้งไว้ในกรงนะคะ เพราะว่ากระต่ายอาจจแทะเอาผ้าเข้าไป และย่อยไม่ได้ เป็นต้น

• แกนทิชชู่ค่ะ
ใส่เอาไว้ในกรงก็ได้ค่ะ กระต่ายจะแทะเล่นหรือไม่ก็เอามาเหวี่ยงเล่นอีกด้วย

• กล่องกระดาษค่ะเอาแบบแข็งๆ
แข็งแรงๆนะคะ เอามาเจาะเป็นรูประตูเข้าออก ค่ะ ใช้เป็นที่หลบได้ กระต่ายจะมุดเข้าไปสำรวจ และอาจจะแทะเล่นอีกด้วย ที่อยากให้หาเป็นกล่องแข็งๆ เพราะว่า บางทีกระต่ายจะปีนขึ้นไปบนหลังกล่องค่ะ กลัวว่าจะคว่ำลงมา ใครมีไอเดียเจ็งๆ ฝีมือดีๆ จะตกแต่งบ้านกระดาษให้สวยถูกใจน้องกระต่ายก็ทำได้ค่ะ

• นอกจากนี้อาจจะดัดแปลงกล่องเป็นกล่องสมบัติค่ะ ในกล่องกระดาษนั้นใส่หญ้าลงไป กระต่ายจะขุดคุ้ยเล่นค่ะ และแทะกินหญ้าในกล่องไปในตัว



• พวกตะกร้าสานที่ไม่ใช้แล้ว
ใส่ไว้ในกรงก็ได้ค่ะ ให้กระต่ายแทะเล่น

• พวกของเล่นสุนัขค่ะ
กระต่ายบางตัวชอบเอามาเล่น โดยเอาปากงัดโยนไปมา แต่อย่าเลือกแบบที่กระต่ายเคี้ยวได้ หรือเล็กจนติดคอได้นะคะ

• แล้วก็พวกของเล่นกลมๆ
ที่กลิ้งได้ มีเสียงกรุ๊งกริ๊งๆ แบบนี้ กระต่ายบางตัวชอบนะ จะบอกให้

• กะบะอาหารสแตนเลส
ว่างๆ ลองใส่ไว้ในกรงดูนะคะ กระต่ายบางตัวชอบเอาปากงับเหวี่ยงเล่นค่ะ

• บ้านบันไดโพรงค่ะ
สำหรับการแทะเล่น และ การกระโดดขึ้นลง ออกกำลังกาย กระต่ายชอบปีนขึ้นไปนอนที่สูงๆด้วยนะคะ เพราะว่าจะทำให้เห็นวิวชัดขึ้น เค้าจะปีนขึ้นไปนอนบนบ้านบันไดโพรงค่ะ นอกจากนี้ยังใช้บ้านบันไดโพรงเป็นที่ลับฟันอีกด้วย (กระต่ายชอบมาก อันนี้แนะนำเลยค่ะ อยากให้มีไว้ในกรง)

• กระดาษขาวไม่มีลาย
เหมาะแก่การให้กระต่ายฉีกเล่นค่ะ หรือใช้ในการลับเล็บ ในการขุดเป็นต้น พยายามเลี่ยงกระดาษหนังสือพิมพ์ค่ะ เพราะว่ามีหมึกพิมพ์ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพกระต่าย

• หญ้าแห้งค่ะ
หรือหญ้าธรรมดาก็ได้ค่ะ เอามามัดเข้าด้วยกันเป็นฟ่อนหญ้า กระต่ายจะสนุกกับการดึกหญ้าออกมาจากฟ่อน และเคี้ยวกินหญ้าค่ะ

• ฝาอย่างฝาขวดที่เป็นพลาสติก
น่ะค่ะ กระต่ายบางตัวก็ชอบคาบแล้วเหวี่ยงเล่นเหมือนกัน เอาฝาใหญ่ๆหน่อยนะคะ เอาแบบงับเล่นได้ แต่กินไม่ได้ ป้องกันไม่ให้ติดคอน้องกระต่าย

• ขอนไม้
ใส่ขอนไม้ไว้ในกรงด้วยก็ได้ค่ะ กระต่ายจะฝึกวิชาตัวเบากระโดดข้ามเล่นไปมา และ แทะเล่น นอกจากนี้ขอนไม้ยังให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติแก่กระต่ายอีกด้วย อ้อ อย่าใช้ไม่ที่มีเสี้ยนหรือยางนะคะ

• ถุงกระดาษแบบไม่มีลาย ไว้ให้มุดเล่น ขุดเล่น และไว้ให้แทะเล่น

• ไม้ลับฟัน ไว้ให้กระต่ายลับฟันเล่น ป้องกันฟันยาวได้อีกด้วย

วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2551

แม่กระต่ายมือใหม่

สำหรับคุณแม่มือใหม่ ที่จู่ๆ น้องกระต่ายที่ดูเหมือนอ้วนก็ออกลูกตัวแดงๆ ออกมา จะทำยังไงดี คนที่แม่กระต่ายใกล้จะออกลูกก็ควรศึกษาไว้นะคะ ถึงเวลาจะได้พร้อมค่ะอย่าเพิ่งตกใจนะคะ ใจเย็นๆ แล้วค่อยๆทำตามเป็นข้อๆ นะคะ



1. แยกตัวผู้
ถ้ายังไม่ได้แยกตัวผู้ออก รีบแยกออกก่อนตัวเมียจะคลอดลูก แต่ของใครออกลูกมาแล้วโดยที่ยังไม่ได้แยกตัวผู้ ก็อย่าปล่อยเลยตามเลยนะคะ รีบแยกตัวผู้ออกซะดีๆ

2. เตรียมรังคลอด
. ในกรงกระต่ายมีรังคลอดหรือยังคะ ที่จริงควรใส่ไว้ในตั้งแต่แม่กระต่ายยังไม่ออกลูก ค่ะ ถ้ายังไม่ได้เตรียมไว้ ก็ควรจะรีบไปหามาค่ะ แม่กระต่ายบางตัวจะเข้าไปออกในรังที่เราเตรียมไว้ให้ หลังจากแม่กระต่ายออกลูกแล้ว เค้าจะเลียทำความสะอาดลูก ซึ่งหลังจากแม่กระต่ายทำความสะอาดลูกแล้ว เราก็สามารถเข้าไปตรวจดูได้ค่ะ ว่ามีลูกกระต่ายตายบ้างหรือไม่ ถ้าพบว่าตายก็ต้องจะเก็บออกค่ะ เพราะว่าถ้าปล่อยไว้ อาจจะทำให้ฝูงมดมาค่ะ ทีนี้ลูกกระต่ายตัวอื่นๆจะโดนมดกัดตายตามไปด้วย



แต่ถ้าแม่กระต่ายไม่ยอมออกในลูกรังคลอดที่เราเตรียมไว้ให้ เราก็สามารถจะจับลูกกระต่าย ไปไว้ในรังคลอดได้ค่ะ การปล่อยลูกกระต่ายไว้นอกรังคลอดไม่ดีหรอกค่ะ เพราะว่า ขาลูกกระต่าย หรือตัวลูกกระต่าย อาจจะตกลงไประหว่างซี่กรง และโดนแม่เหยียบตายได้

ซึ่งกระต่ายไม่มีปัญหาเรื่องการผิดกลิ่นหรอกค่ะ ไม่ต้องห่วงค่ะ เราสามารถจะจับลูกกระต่ายได้ค่ะ แต่หากใครกลัวมากๆ จะเอามือไปถูๆที่ขนแม่กระต่ายก่อนค่อยมาจับลูกกระต่ายเพื่อความสบายใจ ก็ไม่ผิดกติกาค่ะ

3. จัดกรงให้ปลอดภัยแก่ลูกกระต่าย

ในกรณีที่แม่กระต่ายไม่ยอมทึ้งขน แล้วอากาศค่อนข้างเย็นเนี่ย เราอาจจะช่วยลูกกระต่ายให้มีที่นอนนุ่มๆอุ่นๆได้ค่ะ โดยไปหาสำลีแบบก้อนๆค่ะ ที่ขายตามโลตัสเป็นก้อนใหญ่ๆ เอามาปูในกรงก็ได้ค่ะ ลูกกระต่ายจะซุกตัวเข้าไปนอนเหมือนกับเป็นขนของแม่ค่ะ (กรณีที่ลูกกระต่ายที่แม่ไม่เลี้ยง ก็เอาสำลีมาปูได้ ไม่ผิดกติกาค่ะ)



นอกจากนี้ ตามพื้นกรงที่เป็นซี่ๆ ลูกกระต่ายอาจจะตกลงไประหว่างซี่ หรือ ขาติดระหว่างซี่กรง แล้วโดนเหยียบได้ ซึ่งเพื่อนๆ สามารถจะป้องกันได้ โดยการปูพื้นกรงด้วยหญ้าแห้งค่ะ อาจจะเป็น หญ้าขนแห้งๆ หรือหญ้าแห้ง Timothy ที่ขายเป็นถุงๆก็ได้ค่ะ เพื่อปิดซี่ห่างของพื้นกรง ซึ่งนอกจากจะเพิ่มความปลอดภัย แม่กระต่ายยังสามารถจะใช้รองนอน ลูกกระต่ายก็ได้รับความอบอุ่น และแม่กระต่ายยังสามารถจะแทะหญ้าแห้งเหล่านี้กินได้อีกด้วย

4. แม่กระต่ายเลี้ยงลูกหรือเปล่า

หากแม่กระต่ายดูเหมือนไม่ยอมเลี้ยงลูก ไม่ต้องตกใจกลัวนะคะ เจ้าของส่วนใหญ่มักจะกังวลเมื่อเห็นว่า แม่กระต่ายไม่ยอมไปนอนกกลูก แถมบางทีก็ไม่เห็นว่าเลี้ยงนมลูกอีกต่างหาก ก็เลยกลัวกันว่าแม่กระต่ายไม่เลี้ยง แต่จริงๆแล้ว อาจจะไม่ใช่อย่างที่เพื่อนๆ เข้าใจนะคะ เพราะว่า แม่กระต่ายไม่ใช่แม่ไก่ค่ะ เค้าไม่กกลูกทั้งวันหรอกค่ะ แต่ว่าเค้าจะให้นมลูกแค่วันละ ไม่เกิน 2 ครั้งค่ะ คือตอนเช้าตรู่ ครั้งและตอนกลางคืนอีกครั้งค่ะ

ส่วนเวลาที่เหลือเค้าจะแยกไปดูลูกอยู่ห่างๆค่ะ ทั้งนี้ก็เพราะตามธรรมชาติแล้วกระต่ายจะไปออกลูกในโพรง การที่แม่กระต่ายอยุ่กับลูกที่โพรงตลอดเวลานั้น จะทำให้เป็นเป้าสนใจแก่ผู้ล่าค่ะ อย่าลืมว่าหากมีศัตรูมาโจมตี กระต่ายไม่มีทางสู้ได้เลยนอกจากการหนีให้เร็วที่สุด แต่ว่าลูกกระต่ายแรกเกิดนั้น ตายังไม่ลืม หูไม่ได้ยิน มองไม่เห็น เดินไม่ได้ ป้องกันตัวเองไม่ได้เลย แม่กระต่ายส่วนใหญ่จึงมักจะต้องอยู่ห่างๆลูกไว้ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าของศัตรูนั่นเอง


วิธีดูว่าลูกกระต่ายได้รับนมจากแม่หรือไม่
วิธีดูง่ายๆคือลูกกระต่ายที่ได้กินนมแม่เนี่ย ตรงท้องบางๆของเค้าจะเต่งกลมค่ะ และมองดีๆจะเห็นนมสีขาวๆ อยู่ใต้ผิวบางๆ
ส่วนลูกกระต่ายที่แม่ไม่ยอมเลี้ยง เราจะเห็นว่าตัวเค้าเหี่ยวๆค่ะ ท้องไม่เต่งเต็มเหมือนตอนคลอดออกมา

4. หาแม่บุญธรรมถ้าแม่กระต่ายไม่เลี้ยง

ถ้าแม่กระต่ายไม่เลี้ยงเนี่ย เราจำเป็นจะต้องหาแม่บุญธรรมค่ะ ลูกกระต่ายเลี้ยงมือไม่ค่อยรอดนะคะ เราเคยเลี้ยงมือ มีอยู่ตัวหนึ่ง แม้จะรอดแต่ก็ตายไม่นานหลังอายุหย่านม หลายๆคนก็เคยเจอแบบเดียวกันค่ะ ทางที่ดีที่สุดคือ หาแม่บุญธรรมค่ะ เป็นแม่กระต่ายที่คลอดลูกไล่เลี่ยกัน ลองประกาศหาตามบอร์ดต่างๆ อาจจะมีคนช่วยเหลือได้ รวมทั้งถามจากฟาร์มที่ซื้อมาค่ะ เผื่อเค้าจะมีแม่กระต่ายลูกอ่อน

5. อย่าลืมน้ำและอาหารของแม่กระต่าย

อย่าลืมเรื่องน้ำและอาหารของแม่กระต่ายด้วยนะคะ ดูแลเค้าให้เค้ามีน้ำและอาหารอย่าให้ขาดค่ะ :)

วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2551

ของว่างของน้องกระต่าย



น้องกระต่ายเค้าไม่รู้ตัวหรอกว่าเค้าเปงกระต่ายอ่ะนะ
เหงแม่กินอะไร มันจะง้องแง๊งกินด้วยซะให้ได้
ทีนี้แม่มันดันชอบกินไอติมอะดิ

มันก้อเลยกลายเปงว่าน้องกระต่ายติดไอติม
ซะงั้นนะ แต่น้องเค้าจะงอแงมากๆถ้าแม่ไม่แบ่งให้กิน
แบบว่า ขอให้ได้แตะๆลินนิดนุงก็ยังดีอ่ะนะ

แง้วๆๆๆๆ

วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2551

ดูแลลูกกระต่ายที่ยังไม่หย่านม



ให้ใช้นมสำหรับสัตว์กำพร้า เช่น นมแพะ หรือ Esbilac หรือ KMR (นมสำหรับลูกแมว) หรือหากยังหาได้ไม่ทัน ให้ป้อนนมวัวไปก่อน และรีบหานมแพะ หรือ Esbilac หรือ KMR มาแทนโดยเร็ว และค่อยๆป้อนลูกกระต่าย กระต่ายยังไม่หย่านม ที่นำมาขายกัน น่าจะมีอายุประมาณ 3 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน ให้ป้อนประมาณ 30 cc ต่อวัน

หากมีกระต่ายตัวอื่นที่โตแล้ว ให้เอาอึ กระต่ายที่เรียกว่า cecotropes หรือ อึที่ลักษณะเหมือนพวงองุ่น ติดกัน สีออกเขียวขี้ม้าให้เอาอึนี้มาผสมกับ นมที่ป้อนลูกกระต่าย เพราะว่า ลูกกระต่ายต้องการ แบคทีเรียที่ใช้ในการย่อยอาหาร ซึ่งไม่สามารถจะได้รับจากแม่ เนื่องจากแยกจากแม่มาเร็วเกินไป โดยใช้อึ cecotropes แค่ 1 ก้อน สำหรับ 4-5 วัน ซึ่งจำเป็นมากๆ นะคะ สำหรับลูกกระต่ายที่โดนแยกออกมาทั้งๆที่ยังไม่หย่านม


อันนี้น้องกระต่าย รึป่าว

สำหรับลูกกระต่าย ควรให้หญ้าค่ะ ไม่ว่าจะเป็น หญ้าขน หญ้าอัลฟาฟ่า หรือ ทิโมธี ก็ได้ค่ะ และหลีกเลี่ยงผักผลไม้ที่มีน้ำมากๆ เพราะจะทำให้ท้องเสียได้ ซึ่งถ้าลูกกระต่ายท้องเสีย ถือว่า อันตรายถึงแก่ชีวิตได้ง่ายมากๆ และเมื่อลูกกระต่ายอายุ 6 สัปดาห์จึงค่อยเริ่มหัดให้กินอาหารเม็ด
ที่สำคัญคือ ระยะการเปลี่ยนมากินอาหารเม็ดนี้ เป็นระยะที่เสี่ยงแก่การที่ลูกกระต่ายจะท้องเสีย เป็นอย่างมาก จึงควรหมั่นสังเกตตลอดว่า ลูกกระต่ายท้องเสียหรือไม่


แบบนี้มานมะช่ายลูกกระต่ายแล้วเฟ้ยย

ในระยะที่เริ่มสอนให้ลูกกระต่ายกินอาหารเม็ด ห้ามไม่ให้เอาหญ้าออกนะคะ เพราะว่า การเปลี่ยนอาหารต้องเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะระบบย่อยอาหารของลูกกระต่ายจะปรับตัวไม่ทัน และจะทำให้ท้องเสียได้เช่นกัน ระยะแรกๆ ควรให้อาหารเม็ดแค่น้อยๆ เพื่อบังคับให้ลูกกระต่ายกินหญ้าไปด้วย แล้วค่อยๆเพิ่มทีหลังทีละนิดค่ะ ในระยะนี้ เราควรป้อน cecotropes หรือ อึพวงองุ่นให้ลูกกระต่ายด้วยค่ะ เพื่อเสริมแบคทีเรียที่จำเป็นต่อการย่อยค่ะ
นอกจากนี้ เราไม่ควรจะพาลูกกระต่ายที่ยังไม่หย่านม เดินทางไปไหน เพราะอาจจะ ตากแดด ตากลมมากเกินไปค่ะ เพราะเค้ายังอ่อนแอ ไม่ควรพาเดินทางค่ะ

สรุปว่า การเลี้ยงลูกกระต่ายที่ยังไม่หย่านมนั้น จะค่อนข้างลำบาก เพราะว่า ลูกกระต่ายเองก็เปราะบาง ไม่แข็งแรง และ เสียชีวิตได้ง่ายค่ะ แม้กระทั่งผู้เลี้ยงหลายๆคนที่เก่ง และเลี้ยงกระต่ายมานาน ยังพบปัญหาจากการที่ลูกกระต่ายท้องเสียตายอยู่บ่อยๆ

วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เปลี่ยนอาหารให้น้องกระต่าย

เพื่อนๆ อาจจะกลัวว่า น้องต่ายจะเบื่อ ไม่เจริญอาหาร แล้วก็เห็นอาหาร ญี่ห้อต่างๆ น่ากินกว่าที่น้องต่ายกำลังกินอยู่ ก็เลยซื้อกลับบ้านมา แล้วก็เปลี่ยนแทนอาหารเก่าซะเลย แต่ผลที่ได้คือ น้องกระต่ายท้องเสีย


ทำไมเปลี่ยนอาหารปุบปับจึงทำให้ท้องเสีย

นั่นแน่ เริ่มเกิดคำถามแล้วใช่ไหมเอ่ย ว่าทำไมกระต่ายจึงท้องเสียถ้าเปลี่ยนอาหารแบบทันทีทันใด ทีคนอย่างเราๆยังไม่เห็นเป็นไรเลย

สาเหตุก็คือ ระบบย่อยอาหารของกระต่ายไม่เหมือนคนค่ะ เพราะว่าการย่อยอาหาร ของกระต่ายจะต้องอาศัยแบคทีเรียชนิดที่เป็นตัวพระเอก ที่อาศัยอยู่ในระบบย่อยอาหารของกระต่าย มาช่วยย่อยอาหารค่ะ แต่การปรับเปลี่ยนอาหารแบบฉับพลัน แบคทีเรียตัวจิ๊ดเดียวก็ปรับตัวไม่ทันเหมือนกัน ก็เลยทำให้ แบคทีเรียที่ชนิดที่เป็นตัวพระเอกที่ช่วยย่อยเกิดเสียสมดุลย์ขึ้นมา แล้วก็ทำให้แบคทีเรียชนิดที่เป็นฝั่งผู้ร้าย ที่เป็นตัวทำให้เกิดโรคเกิดฮึกเหิมขึ้นมา สำแดงเดช เลยทำให้กระต่ายเกิดอาการท้องเสียแบบที่เราเรียกกันน่านหละ

เพราะฉะนั้น การเปลี่ยนอาหารจึงต้องค่อยๆเปลี่ยนค่ะ ให้เวลาแบคทีเรียพระเอกของเราปรับตัวนี๊ดนึง ในการค่อยๆเปลี่ยนเอาอาหารใหม่มาแทนที่อาหารเก่า โดยเริ่มต้นก็ให้อาหารเก่าไปก่อนแล้วเอาอาหารใหม่ผสมลงไปแค่นิดเดียว แล้วค่อยๆเพิ่มอัตราส่วนอาหารใหม่เพิ่มขึ้นทีละนิดในมื้อถัดไป จนกระทั่ง แทนที่อาหารเก่าด้วยอาหารใหม่ทั้งหมด โดยให้เวลาเค้าปรับตัวอย่างน้อย 1 สัปดาห์ค่ะ

โดยเฉพาะลูกกระต่ายที่เพิ่งซื้อมา หรือเพิ่งหย่านมยิ่งไม่ควรเปลี่ยนอาหารแบบฉับพลัน ควรให้อาหารเก่าไปก่อนซักระยะค่ะ แล้วค่อยๆปรับแบบที่กล่าวมา ยิ่งถ้าใครซื้อลูกกระต่ายมาใหม่ๆ ควรจะถามคนขายว่าเดิมเค้าให้อาหารอะไรอยู่ แล้วก็ซื้ออาหารนั้นติดกลับมาด้วยค่ะ เพราะไหนลูกกระต่ายจะเครียดจากการย้ายบ้านใหม่ หากเจอเรื่องการเปลี่ยนแปลงอาหารแบบปุบปับอีก จะทำให้ท้องเสียได้ง่ายๆเลยเชียวค่ะ แล้วอาการท้องเสียในกระต่ายถือเป็นเรื่องร้ายแรงเลยนะคะ เพราะว่า กระต่ายจะอาการทรุดเพราะ ขาดน้ำ และเสียชีวิตได้เร็วมาก


การให้ผักผลไม้ก็เช่นกัน

ไม่ใช่แค่อาหารค่ะ การให้ผักผลไม้ก็เช่นเดียวกันค่ะ ถ้าลูกกระต่ายยังเล็ก ในช่วงแรกๆ ยังไม่แนะนำให้ให้ผักและผลไม้ เพราะว่า อาจจะเกิดท้องเสียได้ ควรรอให้หญ้าไปก่อน และค่อยๆหัดให้ผักและผลไม้ หลังจากที่ลูกกระต่ายอายุ ประมาณ 3 เดือน โดยการให้ผักผลไม้นั้น ก็ควรจะค่อยๆ ให้แค่ชิ้นเล็กๆ ให้วันละครั้ง ครั้งละนิด แล้วค่อยๆเพิ่มปริมาณทีละน้อย แบบเดียวกับอาหารเลยค่ะ เพื่อให้กระต่ายปรับตัวได้ค่ะ



ทำไมกระต่ายตามธรรมชาติไม่เห็นเป็นไร
ก็เพราะว่า ธรรมชาติ ไม่เคยเปลี่ยนอาหารกระต่ายแบบฉับพลันค่ะ ธรรมชาติมีฤดูกาล และเมื่อฤดูกาลหนึ่งกำลังเปลี่ยนไป ฤดูกาลใหม่ก็จะค่อยๆเข้ามาแทนที่ กระต่ายก็มีเวลาที่จะปรับตัวทีละน้อยๆ ไปตามธรรมชาติ

เรื่องนี้อาจจะเป็นเหมือนเรื่องเล็กๆ ที่หลายๆคนอาจจะมองข้าม แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับเพื่อนตัวน้อยๆ ของเรา เพราะ ว่าหากเรารู้จักเค้าดีพอเราก็จะได้สามารถเลี้ยงเค้าให้เติบโตขึ้นมาได้ อย่างถูกต้อง มีสุขภาพที่ดี แข็งแรง และอยู่กับเราได้นานๆค่ะ


น้องยาหยีของแม่กระต่าย


น้องยาหยีของแม่กระต่าย


คู่หมั้นของพี่เจ้านาย


น่ารัก น่าชัง


เรียบร้อย สมเปงกุลสตรีจริงๆ น่าจะพาไปปักตะไคร้


ตาหวานเชียวน๊า


ปาหวัดน้องหยี

น้องยาหยี เรียกสั้นๆว่าลูกหยี หรือรู้จักกันในชื่อไอ้ตัวเล็ก หรือไอ้เปี๊ยก 555+ ว่าที่เจ้าสาวของเจ้านายนั่นเอง ลัล ลัล ลา น้องเค้าแข็งแรง ยังไม่เคยป่วยเลย โหยๆๆๆ เก่งๆๆ แถมอึดอีกตะหาก ขนาดโดนพี่มันกัดซะขนกระจุยไปหลายรอบตอนนี้ ตีซี้ได้แระ สนิทกันแล้ว แถมพังห้องช่วยกันอีกตะหาก น่าจับแยก งึ่มๆๆๆ

หมอไร้น้ำใจ จริงเหรอ

มี่ไปเจอมาค่ะ ในบล๊อกพี่คนนึง ไม่รู้ใคร แต่อยากให้เพื่อนๆที่เลี้ยงสัตว์เลี้ยงได้อ่านกัน ในมุมมองของคนที่เปนหมอดูมั่ง อิอิ

หมอไร้น้ำใจ ไม่รักษาเพราะร้านจะปิด -->> ความเห็นเล็กๆ อีกมุมหนึ่งที่อยากจะบอกครับ
เนื้อหา พอดีไปอ่านๆ เพลินๆ ที่โต๊ะจตุจักร แล้วก็อ่านกระทู้นี้เจอพอดี
เป็นกระทู้ที่กล่าวถึงโรงพยาบาลสัตว์เอกชนแห่งหนึ่งที่กรุงเทพ

ใจจริงผมเองก็อยากจะแสดงความคิดเห็นในอีกมุมมองหนึ่ง
เพราะเห็นบางความเห็นแล้ว รู้สึกเหนื่อยใจอย่างบอกไม่ถูกเลยจริงๆ ครับ
แต่ครั้นจะแสดงความเห็นในกระทู้ ก็กลัวจะเป็นปัญหากันได้อีก
ผมก็เลยอยากจะแสดงความคิดเห็นเล็กๆ ใน blog ของผมน่าจะดีกว่า

ต้องออก ตัวนะครับว่า ผมทำงานเป็นลูกจ้างต๊อกต๋อยในโรงพยาบาลสัตว์แห่งหนึ่งที่เชียงใหม่ เท่านั้น ก็ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน อาจจะเหมือนๆ กับคุณหมอคนที่ถูกว่าอยู่นั้นก็ได้

ที่ทำงานผมก็ไม่ได้เปิด 24 ชั่วโมงหรอกครับ
และไม่มีนโยบายที่จะเปิด 24 ชั่วโมงด้วย
ทีนี้เวลาใกล้ร้านจะปิดแล้ว บางวันมีเคสฉุกเฉินมาก็ต้องรับ
ทุกๆ คนก็ทำงานเหมือนๆ กันหล่ะครับ ช่วยเหลือกันไป
สำหรับที่ทำงานที่ผมทำ ทั้งหมอที่เหลืออยู่ และผู้ช่วยสัตวแพทย์ทุกคน จะมะรุมมะตุ้มกัน ทำงานเคสชิ้นนี้ให้เสร็จโดยเร็วที่สุด แล้วทุกคนก็จะได้รีบกลับบ้าน

เพราะทุกคนก็ทำงานกันมาตั้งแต่เช้าอ่ะครับ
ทำงานกันเฉลี่ยคนละ 10-11 ชั่วโมง/วัน และ 6 วัน/สัปดาห์
คงจะเหนื่อยๆ และ รอเวลาที่จะเลิกงานแล้ว (ไม่มีใครมารอเปลี่ยนกะด้วย)

ความจริงเรื่องแบบนี้ เป็นเรื่องยากที่จะพูดจริงๆ ครับ
ในมุมมองของผู้ใช้บริการ เจ้าของสัตว์ย่อมอยากได้รับการบริการที่เต็มที่มากที่สุด ซึ่ง บางที การที่เจ้าของมาช่วงเวลาร้านใกล้จะปิด นั้นมีข้อจำกัดหลายอย่าง ที่ลูกค้าอาจจะมองไม่เห็น แต่ที่แน่ๆ ก็คือว่า ผลตอบรับก็คือ กลายเป็นว่า หมอไม่มีน้ำใจ ใจร้ายใจดำ บางรายถึงสาปแช่งให้ถ้าคนรักเจ็บป่วย ก็ไม่มีหมอมารักษา

ที่ทำงาน หลายๆ แห่ง คงจะเหมือนๆ กัน ไม่ว่าที่ทำงานนั้นจะประกอบธุรกิจอะไร นั่นก็คือ ถ้าหากถึงเวลาใกล้เลิกงานแล้ว ไม่ว่าจะแผนกไหน ก็คงไม่ค่อยอยากจะทำอะไรกันเท่าไหร่ เพราะ เตรียมที่จะกลับบ้าน เตรียมจะไปดำเนินชีวิต ตามโปรแกรมที่ตนวางไว้ นัดแฟน ต้องไปรับลูก ไปกินข้าว เหมือนกับสาขาอาชีพอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานออฟฟิศ หรือ บริษัทห้างร้านทั่วๆ ไป

แต่ทีนี้ สถานพยาบาล ไม่เหมือนกับสถานบริการ บริษัหห้างร้านอื่นๆ
เพราะว่า ทำงานกับชีวิต มีเกิดแก่เจ็บตาย และมีเคสฉุกเฉิน

โรง พยาบาลสัตว์หลายแห่ง จึงได้แก้ปัญหา เรื่องเวลาเลิกงานของบุคลากร (ในที่นี้ คือทุกๆ คน มิใช่แค่สัตวแพทย์) ด้วยการปิดรับเคส หรือปิดรับบัตร ก่อนเวลาโรงพยาบาลปิดประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง เพื่อให้หมอและพนักงาน มีเวลาเคลียร์เคสต่างๆ ให้เรียบร้อย และไม่ต้องทำงานล่วงเวลา (ปัญหานี้ จะไม่เกิด ถ้าหากเป็นโรงพยาบาลที่เปิด 24 ชั่วโมง -- แต่ส่วนใหญ่ หมอที่รับเคสนั้นๆ ก็ต้องรับผิดชอบล่วงเวลาไป ตามหน้าที่ของตน)

ที นี้ ถ้าหากเป็นสถานพยาบาลสัตว์ของเอกชน ส่วนมากถ้าหากไม่มีเคสก็ปิดร้านกันตรงเวลา แต่ถ้าหากว่า มีเคสฉุกเฉิน หรือเคสที่เกี่ยวเนื่องจากเวลางานในปกติ อาทิเช่น ร้านปิด 20.00 น. แต่ลูกค้ามาถึง 19.50 น. ผมเชื่อว่า สัตวแพทย์น้อยรายที่จะปฏิเสธการให้บริการ จะให้บริการอย่างเต็มที่ แม้ว่าจะต้องล่วงเลยเวลา วันนี้จะต้องกลับบ้าน 21.00 น. ก็ตาม (บางแห่งก็ไม่ใช่ได้ค่าล่วงเวลานะครับ ก็ถือว่าเป็นเรื่องจริยธรรมที่สัตวแพทย์พึงจะต้องช่วยเหลือสัตว์อย่างเต็มที่)

แต่ ถ้าหากสัตวแพทย์รายนั้นรู้ว่า เคสนี้สามารถรอได้ และถ้าหากตัดสินใจทำหัตถการ อาจจะใช้เวลาล่วงเลยไปเนินนาน นั่นก็เป็นไปได้ที่สัตวแพทย์ อาจจะเลือกให้รอไปก่อน โดยทำแผลเบื้องต้นให้

ส่วนกรณีลูกค้ารายนั้น มาถึงเวลา 20.05 น. หลังร้านปิด ซึ่งเป็นไปได้สูงว่าบุคลากรส่วนอื่นๆ อาทิเช่น ผู้ช่วยสัตวแพทย์ หรือ ฝ่ายการเงิน จะกลับบ้านไปหมดแล้ว การรักษาย่อมมีอุปสรรค เนื่องจากการตรวจที่ใช้เทคนิคพิเศษต่างๆ (อาทิเช่น X-ray หรือหัตถการต่างๆ) จะไม่มีใครเหลืออยู่ช่วยเลย (แม้ว่าตัวหมอเองอยากจะช่วยก็ตาม) จึงไม่สามารถดำเนินงานได้สมบูรณ์แบบ เมื่อเทียบกับเวลาปกติ

และเคสที่มีความเฉพาะ มีความยาก อาทิเช่นเคสอุบัติเหตุที่เกี่ยวกับดวงตาแล้ว อาจจะต้องใช้สัตวแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง มาช่วยดำเนินการให้ (เพราะถ้าหากเป็นหมอมือใหม่ บางรายอาจจะยังไม่กล้าที่จะทำหัตถการนี้ด้วยตนเอง และไม่อยากที่จะทำแล้วเกิดปัญหาตามมาก็เป็นได้) จึงมีความจำเป็นที่จะต้องนัดมาทำในวันรุ่งขึ้น (แต่กรณ๊ลูกตา ที่ผมเคยทำ ก็จะทำให้ตายุบลงก่อน แล้วค่อยเย็บปิด แล้วนัดวันรุ่งขึ้น)

ถ้า หากเจ้าของมีความตั้งใจที่จะให้ดำเนินทำหัตถการนั้นๆ จริงๆ ในวันนั้น ก็จำเป็นที่จะต้องไปรักษาต่อที่อื่น แต่ถ้าหากว่าสิ่งใดที่สัตวแพทย์นั้นสามารถช่วยเหลือได้ในเบื้องต้น ผมคิดว่าไม่มีสัตวแพทย์คนไหนจะปฏิเสธการรักษาหรอกครับ!!

ผมเห็นหลายๆ คนชอบแสดงความคิดเห็นกระแนะกระแน แล้วรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ
-- ทำงานล่วงเวลานิดหน่อยจะตายเลยหรือเปล่า? -->> ไม่มีใครตายหรอกครับ สัตวแพทย์ทำงานล่วงเวลา ก็ทำกันตั้งเยอะแยะ หมอคนที่ถูกว่า อาจจะต้องทำงานล่วงเวลามาหลายครั้งแล้วก็ได้ แต่เนื่องจากปัญหาต่างๆ ตามที่ผมกล่าว จึงทำให้เค้าต้องปฏิเสธเคส หรืออาจจะดำเนินการในวันนั้นยังไม่ได้ (แต่ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจนะครับว่า สมควรหรือไม่ที่จะปล่อยไป)
-- ถ้าไม่รักสัตว์ แล้วจะเรียนสัตวแพทย์ทำไม? -->> คุณคร้าบ ... สัตวแพทย์เรียน 6 ปีนะครับ ถ้าไม่ใจรัก คงไม่ดันทุรังเรียนจนจบ
หรือ ถ้าไม่ชอบหมาแมวจริงๆ ก็ไม่ดันทุรังทำงานอย่างนี้หรอกคร้าบ ... สัตวแพทย์มีสายงานให้เลือกทำเยอะมากๆ ทั้งสัตวใหญ่ ฟาร์ม งานด้านสาธารณสุข งานราชการ ส่วนมากคนที่เลือกที่จะทำด้านสัตว์เล็ก (รักษาหมาแมว) ก็จะต้องรักสัตว์ ต้องเจอหน้ากันทุกวัน (แต่ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับสถานที่ทำงาน บุคลากร และอุปกรณ์ที่จะช่วยเหลือ ในเวลาที่ร้านจะปิดด้วย)

ผมก็อยากจะกล่าวแค่นี้หล่ะครับ
รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่
ผมเองก็เคยปฏิเสธลูกค้าเหมือนกัน
เพราะในเมื่อตนเองไม่พร้อม (เมื่อร้านปิดตอนกลางคืนไปแล้ว)
คุณลูกค้าก็อาจจะจำเป็นต้องไปหาที่อื่นๆ ที่เปิด 24 ชั่วโมง และมีความพร้อม(ในช่วงเวลานั้น) มากกว่าอ่ะครับ

แต่เชื่อเถอะครับว่า คนที่เป็นสัตวแพทย์
ถ้าช่วยอะไรได้ก็จะช่วยให้มากที่สุด ตามดุลยพินิจของตนครับ

ตัวหนังสือสีแดงเปงคำพูดมี่ ที่เหลือ ของพี่เค้าหมดเลยงับ ตามนั้นเลย มี่ป่าวเพิ่มเติม ป่าวลดอะไรเลยน๊า เอิ๊กๆๆ

จับน้องกระต่ายอาบน้ำ


มี่ไปอ่านเจอมา อันแรกเลย หัดน้องเข้าห้องน้ำ
หัดเข้าห้องน้ำ ก่อนอื่นต้องจำกัดบริเวณเป็นอย่างแรก หลังจากนั้นก็ทำความสะอาดไม่ให้มีกลิ่นตามที่ต่างๆที่เขาไปฉี่เอาไว้จนหมด สิ้น ตามด้วยการนำห้องน้ำที่มีอึ กีบกระดาษที่ซับฉี่น้องไปวางในห้องน้ำแล้วเอาห้องน้ำไปวางไว้ในที่ๆเราจำกัด บริเวณ เช่นมีการกั้นคอก แล้วรอจนกว่าเขาจะฉี่ในห้องน้ำเป็นแล้วถึงจะปล่อยออกมาตามสบาย แต่ทุกอย่างต้องใช้เวลา ถึงจะสำเร็จ

ส่วนอาบน้ำให้น้องกระต่าย
ถ้าอาบควรอาบน้ำเปล่าแบบเร็วๆ เพราะเขาเริ่มโต ถ้าจับแรงๆอาจจะเจ็บตัวได้โดยเฉพาะคนจับ หรือไม่ก็หลอกให้เข้าไปในห้องน้ำแล้วก็เปิดฝักบัวเบาๆ
ซักระยะหนึ่งก่อนให้เขาไม่ตกใจแล้วก็เคลียด จากนั้นค่อยๆอาบไล่ไปตั้งแต่ขาไปถึงตัวแต่อย่าให้น้ำเขาหู ถ้าเป็นไปได้หยุดไว้แค่ที่คอหัวกะหูไม่ต้อง
เอาผ้าชุบน้ำหมาดๆเช็ดเอา ทนเขาสลัดน้ำหน่อยละกัน เพราะการอาบน้ำทำให้เขาเครียด

เสร็จแล้วเอาผ้าแห้งที่เตรียมไว้มาห่อตัวแล้วเช็ด(อย่าเช็ดแรงเขากลัว) จากนั้นใช้ไดร์เป่าให้แห้ง(ใช้ลมเย็นเป่าไกลๆหน่อยเดี๋ยวตกใจ)
หรือไม่ก็พัดลมดีที่สุดแต่แห้งช้าหน่อย ต่อไปเป่าแห้งพอประมาณแล้วก็ปล่อยเขาไปก่อนสักพักหนึ่งให้เขาทำความสะอาดขนตัวเองตามปรกติ
ส่วนใหญ่เขาจะทำความสะอาดตัวเองอยู่แล้วตลอดเวลาตัวเปียกสุดท้ายก็โรยแป้งสำหรับเขา หรือจะถูจากมือเราก่อนแล้วค่อยลูบตัวเขาก็ได้เหมือทาตัวคนแหละ
ไม่ต้องใส่เยอะนะเดี๋ยวเขาจะเลียเขาไปมากเกินท้องจะเสียเอา



ถ้าน้องเค้ายังเด็กล่ะ อาบน้ำได้มั้ย
นี่คำถามนี้สดๆร้อนๆเลย พี่ในบอร์ดเค้าถามมา จับมากองรวมไว้ในบล๊อกเลยนะกัน อิอิ เหมาะๆๆ
น้องกระต่ายเค้าจะเลียขนทำความสะอาดตัวเองอะค่ะ รออีกซักพักโตอีกนิดค่อยอาบให้ แต่ว่าการอาบน้ำแล้วไดร์ขนไม่แห้ง ก็อาจจะป่วยเป็นหวัดได้นะคะ
ตอนนี้ยังเด็กอยู่ถ้าน้องเค้าขนยาว ใช้หวีขนบ่อยๆ ช่วยได้เยอะเลยค่ะ สเปย์สำหรับสัตว์เลี้ยง ฉีดนิดๆ แล้วก็เอาหวีลูบ จะสะอาด หอมมมมมด้วย แต่ถ้าน้องกระต่ายสกปรก เอาผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดก็ได้ค่ะ

ว่าแล้วก็ ไปดูรูปฮาๆของน้องกระต่ายกัน


นี่เปงความคิดเหงของเจ้าของกระต่ายเกี่ยวกะการอาบน้ำ

ปกติ กระต่ายรักสะอาดนะ ที่บ้านไม่ต้องทำความสะอาดเลยค่ะ เขาดูแลตัวเองดีมากๆ เลียหูเลียขนบ่อย เราก็แค่จับมาตัดๆตรงที่เริ่มจับตัวเป็นก้อน แค่นั้นเอง
เมื่อ รู้ว่ากระต่ายสกปรกเพราะอะไร เราก็แก้ไขตรงจุดนั้นน่าจะดีกว่านะคะ อย่างที่บอกว่ากระต่ายชอบนอนทับฉี่ตัวเอง เป็นเพราะกระต่ายใช้ห้องน้ำไม่เป็นเหรอคะ ควรจะหัดให้กระต่ายใช้ห้องน้ำ เพราะถ้าใช้ห้องน้ำเป็นจะสะดวกต่อคนเลี้ยงและกระต่ายมากเลย

ส่วนมากถ้าเลี้ยงกระต่ายในกรงที่มีตะแกรงรองด้านล่าง เวลากระต่ายอึฉี่ก็จะลงข้างล่าง ตัวกระต่ายจะไม่สกปรกค่ะ หรือว่าเลี้ยงแบบกั้นคอก หรือปล่อยอิสระก็ต้องหัดให้ใช้ห้องน้ำให้ได้ กระต่ายหัดได้ค่ะ

ถ้า กระต่ายสกปรก เอาผ้าชุบน้ำอุ่นๆมาเช็ดนะคะ หรือไม่ก็ซื้อสเปย์ทำความสะอาดกระต่ายมาใช้ก็ได้ค่ะ แต่ถ้ายังแก้ที่ต้นเหตไม่ได้ กระต่ายก็ต้องสกปรกทุกวัน คนเลี้ยงคงตามทำความสะอาดกันให้ไม่ไหวหรอกมั้งคะ

อย่าใช้ผ้าเย็นทำความสะอาดกระต่ายเด็ดขาดนะคะ เพราะผ้าเย็นที่วางจำหน่ายทั่วไปมีส่วนผสมของสารให้ความเย็น ได้แก่ เมธิลแอลกอฮอล์ ซึ่งอันตรายมากๆ ค่ะ เพราะปกติกระต่ายมักจะทำความสะอาดตัวเองด้วยการเลียขนเป็นประจำทั้งวันอยู่ แล้วน่ะค่ะ ถ้าใช้แล้วเค้าเลียเข้าไปเป็นอันตรายถึงชีวิตได้นะคะ

ทำความสะอาดเฉพาะจุดที่สกปรกอ่ะจ้า โดยการใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำสะอาดธรมดาๆ เช็ดตรงที่สกปรก แล้วรีบใช้ผ้าขนหนูแห้งๆ อีกผืนเช็ดให้แห้ง แค่นี้ก็พอแล้วน่ะค่ะ แต่ถ้าสกปรกสุดๆ เช็ดไม่ออกจริงๆ เราเล็มขนตรงที่เปื้อนออกน่ะค่ะ


นี่เลยค่ะ ถ้ามันดื้อกะแม่มากๆ ก็จับหูมันกระชากขึ้นแบบนี้ เอามีดตัดหูมันทิ้งไปเล๊ยย 55+ มี่ล้อเล่นนะ อย่าไปทำจิงนะสงสารน้องเค้า

เมื่อน้องกระต่ายอยากมีเมีย



นอนเหงาใจมานานอยากมีคู่ ฮือออออออ ทำไงดี กลุ้มแทนน้องกระต่าย ไม่ได้ซะแล้ว ในฐานะแม่น้องกระต่ายต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว



เก็บกดหนักเข้า ไม่ไหวแล้ว มาอ้อนแม่ให้หาเมียให้ 55+ (รู้มาตั้งนานแล้วน่าว่าเปลี่ยวใจ ไอ้ลูกชาย มะ เด๋วแม่จัดให้)



อ้าวเจอแล้ว นี่ไงว่าที่คู่หมั้นน้องเจ้านายค่ะ เป็นลูกสาวแม่นุชกะพ่ออ๊อฟ เพื่อนมี่เองค่ะ



แต่ดูเหมือนว่าเจ้านายจะอกหักตั้งแต่ยังไม่เจอหน้าเจ้าสาวซะแล้ววววว ดูจิ เค้ามีคู่หมายอยู่แล้ว มองตาขวางเชียว เชอะ




อกหักแล้วก็มานอนแป่ว ซดน้ำใบบัวบกทำใจไปก่อนนะน้องเอ้ย เก็บอารมณ์ไว้ก่อนลูก เจ้านายสู้ๆ มาหื่นกะขาแม่ไปก่อน อดทนอีกนิ๊ดนุงน๊าลูน๊า เอิ๊กๆๆ

ปล.ตอนนี้น้องเค้ามียาหยีมาอยู่เปงเพื่อนแล้ว ดูท่าทาง ยาหยีนี่ ชะรอยจะเปงคู่แท้เค้าเลยล่ะ

วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2551

อุปกรณ์สำหรับน้องกระต่าย

ตัดสินใจได้แล้วใช่ป่ะคะ ว่าจะเลี้ยงน้องกระต่ายแน่ๆ งั้นก่อนอื่นมาดูกันน๊าว่าเราจะเลือกซื้อของยังไงให้ถูกใจน้องกระต่าย เอิ๊กๆ

อยากจะบอกว่าเหมือนเปนเรื่องง่ายๆ แต่ความจริงย๊าก-ยากๆๆๆๆๆ เพราะกว่ามี่จะหาของให้ถูกใจพี่แกได้ก็แทบแย่ เห้อ สมชื่อเจ้านายจริงๆ มี่ละเปงทั้งแม่ เปงทั้งคนใช้มัน แง้ว


ก่อนอื่นเลย มาดูกรงกันก่อน
อันนี้สำคัญค่ะ การมีกรงที่เหมาะสม ก็จะทำให้กระต่ายมีความสุขค่ะ เพราะอย่าลืมว่า กระต่ายส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตอยู่ในกรง มากกว่าข้างนอก ดังนั้นกรงควรจะสะอาด ระบายอากาศดี และมีความกว้างขวางเพียงพอค่ะ

นอกจากนี้เราควรจะเลือกกรงที่เป็นพื้นทึบจะดีกว่าค่ะ เพราะว่า อย่างที่เรารู้กันอยู่นะคะ (รู้รึป่าวเอ่ย แหะๆ)
กระต่ายต้องกินอึบางชนิดกลับเข้าไป (เพราะเป็นสัตว์กินพืช เมื่อกระต่ายกินอาหาร เข้าไปซึ่งจะย่อยยาก แบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ตอนต้นของกระต่าย จะทำการผลิตวิตามิน ที่มีประโยชน์ให้กับกระต่าย ซึ่งสารอาหารที่มีประโยชน์จากแบคทีเรียกนี้ บางส่วนจะโดนขับออกมา กับอึของกระต่าย ซึ่งได้แก่ โปรตีน และวิตามิน B ซึ่งบางครั้งกระต่ายจะต้องกินกลับเข้าไป เพื่อรักษาสมดุลย์ธรรมชาติของร่างกายเค้าค่ะ)



หากเราเลี้ยงแบบที่พื้นเป็นซี่กรง อึนี้จะตกลงไประหว่างซี่กรง ทำให้กระต่ายไม่สามารถจะกินได้ค่ะ ดังนั้นการเลี้ยงในกรงพื้นทึบจะดีกว่าค่ะ

การเลือกกรงที่ดีนั้น กรงควรจะใหญ่กว่าตัวกระต่ายประมาณ 4 เท่าค่ะ
ขนาดกรงที่เหมาะสมสำหรับกระต่ายเล็กคือประมาณ 25 X 35 นิ้วค่ะ
ส่วนกระต่ายโต ขนาดประมาณ 30 X 35 นิ้วค่ะ เราควรจะเลือกกรงที่ไม่เตี้ยเกินไป เพื่อให้กระต่ายสามารถจะยืน 2 ขาได้



กระบอกน้ำ จะช่วยให้กระต่ายมีน้ำที่สะอาดกิน เราไม่ควรจะใส่น้ำลงในภาชนะ เพราะว่า เศษอาหาร อุจจาระ และผักหญ้า อาจจะตกหล่นลงไปในน้ำ จะทำให้เน่าเสีย และทำให้กระต่ายท้องเสียอีกด้วย

การเลือกซื้อกระบอกน้ำ เราควรจะซื้อกระบอกน้ำอย่างดีไปเลยค่ะ อย่ามัวเสียดาย เพราะว่า กระต่ายตัวนึงมีอายุขัยตั้งเกือบ 10 ปี เราซื้อกระบอกน้ำอย่างดี ใช้นานๆ แบบไม่มีปัญหาการรั่วซึม ดีกว่าค่ะ เพราะว่าอากาศบ้านเรานั้น ร้อนมาก หากกระบอกน้ำไม่ดี น้ำไม่ไหล อาจจะทำให้กระต่ายตายได้นะคะ




แต่สำหรับไอ้ตัวนี้ กระบอกน้ำไม่ใช่ปัญหาเลยค่ะ มันไม่ยอมกิน มันจะกินจากในแก้วอย่างเดียวเลย พอหิวน้ำก็จะมาคุ้ยๆๆๆตะกุยแขนให้แม่มันหาให้กิน น้ำธรรมดาไม่กินด้วย พี่แกจะกินน้ำเย็น ชาเขียวเอย น้ำหวานเอย สารพัดจะสรรหามาปรนเปรอพี่แก

แต่ไม่แนะนำให้ทำตามนะคะ เพราะน้องกระต่ายจะไม่สบายเอา แต่อีตัวนี้กรณียกเว้นค่ะ มันอึดจนเกินกระต่าย แหะๆ

น้องกระต่ายก็พูดได้นะค๊าฟ



แม้ว่ากระต่ายจะมีมานาน ในเมืองไทย แต่จะมีผู้เลี้ยงซักกี่คน ที่สนใจจะเรียนรู้ภาษากระต่าย เพราะว่า กระต่ายพูดไม่ได้ เราจึงเข้าใจในกระต่ายได้ยาก แต่กระต่ายก็มีภาษากายนะคะ หากเราค่อยๆสังเกต และทำความข้าใจ เราก็จะเข้าใจในสิ่งที่เค้าพยายามสื่อสารกับเราได้ค่ะ

กระต่ายไม่ค่อยร้อง และสื่อสารกันด้วยกลิ่น



ถึงแม้ว่ากระต่ายเป็นสัตว์สังคม แต่ว่าพวกเค้าไม่มีการทักทายกันที่ส่งเสียงดังเหมือนเดียวกับสัตว์อื่น ๆ เช่นสุนัข หรือแมว นั่นเป็นเพราะว่าพวกเค้า เป็นผู้ถูกล่า และการส่งเสียงดังนั้นย่อมเป็นการบอกให้สัตว์ต่าง ๆ ที่เป็นผู้ล่า อย่างเช่น ตุ๊กแก แมลงสาบ หนู (ก็มี่กลัวอ่ะ กระต่ายก็ต้องกลัวเหมือนมี่แหละ)รู้ถึงตำแหน่งของพวกเค้า ดังนั้นเค้าจะเงียบ และใช้กลิ่นในการสื่อสารกันเสียส่วนใหญ่ค่ะ ซึ่งการใช้กลิ่นสำหรับกระต่ายนั้น สำคัญมากค่ะ และกระต่ายมีจมูกที่ไวมาก นับเป็นการสื่อสาร ที่พัฒนาไปมากที่สุดของกระต่ายก็ว่าได้



การใช้กลิ่นนั้น ก็เหมือนกับเป็นบันทึกลับที่กระต่ายบันทึกเอาไว้ให้แก่กันและกัน จะมีเฉพาะกระต่ายที่เข้าใจกัน เช่น เค้าสามารถจะบอกกันได้ว่า ที่ตรงนี้เป็นอาณาเขตของเค้าหรือเปล่า โดยไม่ต้องพูดกันซักคำ นอกจากนี้ กลิ่นยังเป็นประโยชน์อย่างมากในการสื่อสารในที่มืด หรือในยามที่ กระต่ายไม่ต้องการให้ตัวเค้าเป็นที่สนใจ ของสัตว์อื่น ๆ โดยเฉพาะผู้ล่า ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับสัตว์ที่มีผู้ล่ามากมายเช่นกระต่าย



นอกจากนี้ กระต่ายนั้น ก็มักจะไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนเมื่อเค้ารู้สึกเจ็บปวดหรือหวาดกลัว
ซึ่งทำให้การแสดงออกต่าง ๆ ของกระต่ายนั้น มักจะไม่ทำให้เจ้าของสังเกต เพราะว่าการแสดงออก ถึงความอ่อนแอ หากอยู่ในธรรมชาติ เค้าจะตกเป็นเป้าโจมตีของศัตรูได้ง่าย และด้วยความที่เค้าไม่ร้อง เลยทำให้เราคาดคะเนได้ยากว่าเค้าต้องการอะไร หรือป่วยหรือไม่

การส่งเสียงร้อง
ตามปกติกระต่ายจะไม่ค่อยส่งเสียงร้องพร่ำเพรื่อค่ะ แต่จะร้องเสียงดังเมื่อเจ็บปวด



อาการก้าวร้าว

ปกติแล้วกระต่ายจะอ่อนโยน สุภาพ แต่หากเค้ากลัวมากๆ เค้าก็อาจจะมีอาการก้าวร้าวเช่น กัด หรือ ถีบได้ หากเป็นแบบนี้แปลว่าเค้าไม่ไว้ใจเราค่ะ เราต้องอาศัยเวลาเพื่อให้เค้ารู้ว่า เรารักและจะไม่ทำร้ายเค้า พยายามอย่าทำให้เค้าตกใจกลัว

จะเลี้ยงกระต่ายกี่ตัวดีนะ

ถ้าตัดสินใจว่าจะเลี้ยงน้องกระต่ายแน่ๆแล้วละก็ มาดูกันดีกว่าเนอะ ว่าจะเลี้ยงทีละกี่ตัวดี อิอิ
มี่ทายเลยนะว่า ใครที่เริ่มเลี้ยงใหม่ๆ ก็จะหอบน้องเค้ากลับมาเป็นแพคคู่กันทั้งน้านแหละ แล้วถ้าทายทายต่อ มี่ก้อว่า ผู้ กะ เมีย ชัวร์ป๊าบ 100 นุง มี่ เอา บาทเดียวเลยกะได้ มี่เคยเป็นมาก่อน สมัยเลี้ยงน้องกระต่ายใหม่ๆ มี่เป็นหนักมากๆเลยอีกตะหาก มาดูกันดีกว่า ว่าที่มี่หอบกลับมาน่ะ คิดถูก หรือ คิดผิด โหะๆๆ


ที่จริงแล้ว กระต่ายเป็นสัตว์สังคมค่ะ จริงๆแล้ว เค้าต้องการเพื่อน เพื่อนๆ หลายๆคนอาจจะนึกค้านในใจว่า "ก็เจ้าของนี่หละ คือเพื่อน ของกระต่าย" แต่จริงๆแล้ว ก็ไม่ถูกเสียทีเดียวหรอกค่ะ เพราะว่า ถ้ากระต่ายจะมีเจ้าของเป็นเพื่อน แต่เค้าก็ต้องการเพื่อนชนิด เดียวกันด้วย เราไม่สามารถจะเข้าไปแทนที่ได้ หรอกค่ะ

ลองนึกง่ายๆ มันก็เหมือนกับเอาคน ๆ นึงไปขังไว้ในห้อง ที่มีแต่กระต่ายอยู่เป็นเพื่อน ไม่ให้คนๆนั้นไปเจอ มนุษย์คนอื่นเลย แน่นอนค่ะ นานๆ เข้า คนๆนั้นก็จะเหงา และ เบื่อ อยากเจอใครที่เหมือนกัน คุยกันได้รู้เรื่อง น้องกระต่ายก็ไม่ต่างกับเราค่ะ



ทีนี้เพื่อนๆ ก็คงจะเกิดคำถามแล้วสิ ว่า อ้าว แล้วงี้จะเลี้ยงกี่ตัวดีล่ะ

ในเมื่อการเลี้ยงตัวเดียว จะทำให้น้องกระต่ายเหงา เราจึงควรจะเลี้ยงเป็นคู่ค่ะ แต่ไม่แนะนำให้เลี้ยงเป็นฝูงๆ เพราะว่า พอกระต่ายเริ่มเต็มบ้าน จากเดิมที่เพื่อนๆ เคยสนุก เพื่อนๆ จะรู้สึกว่า เค้าเป็นภาระ อย่างเช่น เมื่อทำความสะอาดกรง หรือว่า อาบน้ำ แต่ละครั้ง เพื่อนๆ ก็จะเบื่อหน่ายที่วันหยุดของเพื่อนๆ หมดไปทั้งวัน และขี้เกียจ แล้วก็พาลลงกับน้องกระต่ายเหล่านั้นค่ะ เค้าจะเริ่มโดนทิ้งขว้าง ไม่ดูแลอย่างดีเหมือนตอนที่เพื่อนๆ เริ่มเลี้ยงใหม่ๆ

อยู่ตัวเดียวก็น่าสงสาร

ที่จริงแล้ว กระต่ายเป็นสัตว์ที่ ขยั๊นขยัน ในการ ผสมพันธุ์ค่ะ เรียกง่ายๆก็คือมันเป็นอะไรที่หื่นมากๆ หื่นบ่อยๆ แหะๆ ถ้าเพื่อนๆ ไม่อยากจะมีปัญหา เรื่องลูกกระต่ายเต็มบ้านล่ะก็ แนะนำเลยค่ะ ว่าให้ทำหมันตัวผู้ซะ แต่ถ้าจะให้ดีที่สุด เลี้ยงเพศ เมียกับเพศเมีย ดีกว่า
ยิ่งถ้าซื้อมาด้วยกัน ตั้งแต่เล็ก ปัญหาว่า จะอยู่ด้วยกันไม่ได้เนี่ยแทบจะไม่มี ส่วนตัวผู้กะตัวผู้เนี่ยมี่ไม่อยากจะแนะนำค่ะ เพราะว่าตอนเด็กๆ ก็จะดีอยู่หรอกค่ะ อยู่กันปรองดอง แต่เมื่อเค้าโตเป็นหนุ่ม ล่ะก็ มักจะกัดกันค่ะ จะชิงความเป็นใหญ่กันค่ะ


ดูตาน้องเค้าจิ สายตายังกะกระต่ายขี้เหงา